ความเจริญเสื่อมถอย





ความเจริญเป็นสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดมีด้วยศรัทธาในความดี แต่ธรรมดาของการดำเนินไปแห่งชีวิตที่ต้องประสบทั้งสุขและทุกข์ตามเหตุและปัจจัยที่มากระทบ บ่อยครั้งที่แรงกระทบอันเป็นวิบาก (เครื่องกั้นความเจริญ) ที่เกิดจากผลแห่งการกระทำครั้งเก่าก่อน (กรรม) หรือแม้แต่กรรมอันเป็นปัจจุบันที่ขาดสตินั้นมำแดงผลเกิดเป็นความทุกข์ที่รุมเร้าใจกระหน่ำเป็นมรสุมชีวิต (ความปรุงแต่งจิต ณ ปัจจุบัน) ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็อาจทำให้เรารู้สึกท้อแท้ ถดถอยที่จะกระทำความดี ความเจริญนั้น นี้เป็นเหตุให้ความเจริญเสื่อมถอย
หากเพียงแต่เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เฝ้ามองตน มองใจของตน ณ เวลาที่ทุกข์กระทบใจให้ยิ่ง มองตนให้มากเพราะเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจของเราที่ไม่ไม่เข้าใจธรรมทั้งปวงว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืน แน่นอน แปรไปตามปัจจัย แล้วไปหลงยึดมั่นในอารมณ์ ความรู้สึก (ทุกข์) ณ เวลานั้นว่าช่างทุกข์เสียเหลือเกิน และมักจะไปเพ่งโทษผู้่อื่นที่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์นั้น
หากเราหันกลับมามองตัวเองให้มาก เพ่งโทษผู้อื่นให้น้อยลง สร้างเมตตาจิตให้เกิดกับตนด้วยการสร้างมุมมอง แง่คิดกับผู้เป็นปัจจัยที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ว่าแท้จริงแล้วเขาทั้งหลายก็เป็นผู้อยู่ในกองทุกข์ แล้วยังหลงสร้างความทุกข์ซับซ้อน ทับถมตนเองอีก เขาทั้งหลายเหล่าน่าสงสารกว่าเรานัก และที่สำคัญเหตุการณ์ที่เขาเป็นปัจจัยสร้างทุกข์ให้กับเรามันจบไปแล้ว ณ เวลาที่ผ่านมา เราเองต่างหากที่หลงยึดสิ่งที่เปลี่ยนไปด้วยความเขลาแห่งตนจนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความเจริญแห่งเราท่านทั้งหลายจะไม่มีวันเสื่อมถอยเลย
ดั่งคำกล่าวที่ว่า "คิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน" เราท่านทั้งหลายพึงมาร่วมเพียร หัด จัดสร้างความคิดใหม่ๆ ให้กับชีวิต ให้สมกับการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา อันได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งปัญญา แห่งผู้รู้ตื่นและเบิกบานกันเถิด เรามาเป็นดอกบัวที่ชูช่อตระหง่านรับแสงแห่งตะวันเพื่อการเบ่งบานแห่งกลีบช่อกันเถิด


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทางสายกลาง

อุปสรรคของสมาธิ

หลวงปู่มั่นเล่าเรื่องพระธาตุพนม