นิพพานมิใช่อัตตา มิใช่อนัตตา โดย อาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (หลวงตามหาบัว)
ธรรมเทศนาโดย อาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน (หลวงตามหาบัว) วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เทศน์อบรมพระ ณ. วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
(นิพพานมิใช่อัตตา มิใช่อนัตตา)
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายพึงสังเกตให้รอบคอบ ไม่งั้นติดและทำให้ล่าช้าในการดำเนิน และอย่าเข้าใจว่าเป็นสูงเป็นต่ำ เป็นที่ยึดเป็นที่ไว้ใจที่ต้องใจเมื่อพิจารณาเข้าไป เมื่อถึงขั้นที่จะทำลายกันแล้วนั้น อันนี้แลที่เรียกว่าจะว่าขิปปาภิญญาหรือว่าอุคฆติตัญญูก็ได้เมื่อถึงขั้นนี้ แล้ว ไม่นาน เป็นขั้นละเอียด ถ้าว่างานก็ง่ายแล้ว มีแต่ยุบยิบ ๆ อยู่ภายในจิตเท่านั้น นอกนั้นหมดปัญหาไปโดยประการทั้งปวง ประหนึ่งว่าเราไม่เคยพิจารณามาเลย คือจิตไม่สนใจกับสิ่งใดทั้งนั้น เพราะไม่ติดใจ ปล่อยมาแล้ว วางมาแล้ว รู้แล้วเห็นแล้วไปยุ่งทำไม มันรู้เอง ตรงไหนที่ยังมีสัมผัสสัมพันธ์ดูดดื่มอยู่ ตรงนั้นแหละเป็นจุดที่อยู่ของข้าศึก จึงต้องรบกันที่ตรงนั้น ฟาดฟันหั่นแหลกกันที่ตรงนั้น
พอจุดสุดท้ายพังทลายลงไปด้วยปัญญาอันทันสมัยแล้วก็หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง จะพิจารณาว่าอันนี้เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อะไรอีก ใจเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ได้ยังไง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานต่างหาก ใจที่บริสุทธิ์แล้วเป็น อนตฺตา ได้ยังไง ถ้าใจที่บริสุทธิ์แล้วเป็น อนตฺตา นิพพานเป็น อนตฺตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิ เป็นของอัศจรรย์อะไร เพราะฉะนั้นธรรมชาตินั้นจึงไม่มีสมมุติที่จะพูดว่าเป็น อตฺตา หรือเป็น อนตฺตา เพราะทั้งสองนี้เป็นสมมุติด้วยกัน
อันนั้นไม่ใช่สมมุติ พ้นวิสัยของสมมุติไปแล้ว ท่านจึงให้ชื่อเพียงว่าวิมุตติเท่านั้น แล้วก็ไม่ขัดกับธรรมบทใดเหมือนคำว่า อนตฺตา ถ้าว่า อนตฺตา ก็ขัดกับไตรลักษณ์ ดึงพระนิพพานมาเป็นไตรลักษณ์เสียเอง เป็นวิมุตติพ้นแล้วก็หมดปัญหา เมื่อถึงจุดนี้ว่าขิปปาภิญญาก็ได้ เพราะเป็นขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น อุคฆติตัญญูก็ได้ ทราบกลมายาของกิเลสทั้งมวลโดยลำดับ ๆ ไปถึงขณะนั้นยิ่งจะทราบเลย เรียกว่าอุคฆติตัญญูก็ได้ วิปจิตัญญูก็ได้ หากมีเหตุมีผลเป็นเครื่องเทียบเคียงตนเอง สอนตนเอง พิจารณาโดยลำพังตนเอง ฟังเทศน์ระหว่างอวิชชากับจิต หรือระหว่างขันธ์กับจิต
ตั้งแต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไปแหละ นี่เป็นเรื่องฟังธรรมทั้งกลางวันกลางคืนไปตลอดสาย ส่วนรูปนี้เวลาชำนิชำนาญทางอสุภะแล้วก็เป็นได้ พิจารณาทั้งกลางวันกลางคืน ยิ่งไปถึงขั้นอวิชชาด้วยแล้วเหมือนน้ำซับน้ำซึมไหลรินอยู่ทั้งแล้งทั้งฝน สติปัญญาขั้นละเอียดกับกิเลสประเภทละเอียดตามต้อนกัน พิจารณากัน ต่อสู้กัน จนกระทั่งหมดสิ่งที่จะต่อสู้ หมดข้าศึก หมดสมมุติ หมดศัตรูภายในจิตใจแล้ว สติปัญญาที่หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่เหมือนธรรมจักรก็หมดปัญหาไปเอง เพราะสติปัญญาก็เป็นสมมุติฝ่ายแก้ สมุทัยก็เป็นสมมุติฝ่ายผูกมัด เมื่อฝ่ายนั้นซึ่งเป็นฝ่ายกิเลสสิ้นสุดลงไปหรือหมดปัญหาลงไปแล้ว สติปัญญาประเภทมรรคจะไปแก้อะไร ย่อมหมดปัญหาไปเช่นเดียวกัน
หากจะพูดก็ว่าสติในหลักธรรมชาติ ปัญญาในหลักธรรมชาติ หรือว่าปัญญาญาณไปเสีย แต่ก็เป็นสมมุติด้วยกัน ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้เท่านั้นเป็นวิมุตติ ไม่มีอาการ อันใดที่แสดงอาการออกอันนั้นเป็นสมมุติทั้งมวล อาศัยกันไปเพียงระยะชั่วขันธ์แตกสลายเท่านั้น พอขันธ์แตกสลายไปแล้วอันนี้ก็หมดปัญหา อาการทั้งมวลนี้ก็เป็นไปตามสมมุติทั้งหมด ส่วนวิมุตตินั้นไม่ใช่นักโทษไม่ใช่ผู้ต้องหา จะต้องไปเที่ยวหาตั้งชื่อตั้งนาม ไปหาค้นคว้าว่าไปอยู่ที่ไหน ๆ อะไร ถ้าเป็นผู้ต้องหาก็จะต้องตามจับควบคุมตัวมาลงโทษ นั่นเป็นวิมุตติ
ขอให้เป็นเถอะใครเป็นก็รู้ได้ทุกคนนั่นแหละ สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าไม่ได้ผูกขาด มอบให้กับผู้ปฏิบัติทุกคนจะพึงรู้โดยลำพังตนเอง สนฺทิฏฺฐิโก จะเป็นผู้พึงรู้เองเห็นเองด้วยการปฏิบัติตามสติปัญญาของตนเอง ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะพึงรู้จำเพาะตน มันก็หมดปัญหา
นั่นละหนักมาขนาดไหน ทุกข์มาเพียงไรก็ตาม เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วมันลบล้างกันหมดเรื่องความทุกข์ทั้งหลาย ไม่เสียดายความเพียรของตนที่ทำมาหนักเบามากน้อยเพียงไรแทบล้มแทบตาย ไม่ได้เสียดายกำลังความเพียรที่ทำอยู่นั้นด้วยความทุกข์ยากลำบาก เพราะคุณค่าเกินคาดเกินหมาย เป็นธรรมล้นค่า ทำไมเราจะต้องมาถือความทุกข์ความลำบากซึ่งเปรียบเหมือนมูตรเหมือนคูถนี้เป็น อุปสรรค แล้วเราจะเห็นธรรมอันประเสริฐที่เป็นเครื่องลบล้างสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง ต้องคิดอย่างนั้นนักปฏิบัติ
อย่าท้อถอยอ่อนแออันเป็นกลมายาของกิเลสทั้งมวล มีอยู่รอบจิตใจของเรา พากันคิดอ่านไตร่ตรองให้ดีทุกสิ่งทุกอย่าง จะเป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม สมนามว่าเราเป็นผู้มาชำระกิเลส อย่าให้กิเลสมาเหยียบย่ำทำลายหัวใจเรา กิริยามารยาทอาการแสดงออกทุกแง่ทุกมุม อย่าให้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลดังที่เคยเป็นอยู่นี้ ให้เป็นเรื่องของธรรมได้มีโอกาสแสดงออกมาบ้าง ด้วยความพยายามของเรา สมกับนามว่าเป็นนักปฏิบัติ เป็นนักต่อสู้ เป็นนักใคร่ครวญเพื่อความรู้ความฉลาด
วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ - ๖. ปัตติทานะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น
ศัพท์ว่า ปัตติ ในที่นี้แปลว่า ส่วนบุญ ส่วนความดี ปัตติทาน แปลว่า การให้ส่วนบุญหรือส่วนความดี เมื่อได้ทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นถวายทานแก่พระสงฆ์เป็นต้นแล้วอุทิศให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว หรือตั้งใจมอบหรือถวายให้ส่วนบุญส่วนความดีนั้นแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้เขาได้รื่นเริงบันเทิงอนุโมทนาเป็นสุขใจต่อๆ ไป หรือเพื่อเขาจะได้อนุวัตรปฏิบัติบำเพ็ญบุญตามให้เกิดสุขยิ่ง ๆ ขึ้นโดยควรแก่ฐานะ และเพื่อจัดความตระหนี่ซึ่งเป็นมลทินของตนประการหนึ่ง ชื่อว่าวัณณมัจฉริยะ ตระหนี่ความดี หวงแหนความดีเอาดีแต่ผู้เดียว ไม่ยอมให้ผู้อื่นดีบ้าง
การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป
การแบ่งส่วนบุญ ให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
.....นายอันนภาระ เป็นคนขนหญ้าของสุมนเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี ได้ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า อุปริฏฐะ ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยอานิสงส์ ของทานนี้ ขอความเป็นผู้ขัดสนอย่าได้มีแก่เรา คำว่า "ไม่มี" ขออย่าได้มีในภพน้อยภพใหญ่ ที่บังเกิด พระปัจเจกพุทธเจ้า กระทำ อนุโมทนาว่า "ขอความปรารถนาของท่านจงสำเร็จเถิด"
.....เทวดาที่สิงอยู่ในฉัตรของบ้าน สุมนเศรษฐี กล่าวว่า "น่าชื่นใจจริง ทานของท่านอันนภาระตั้งไว้ดีแล้วในพระปัจเจกพุทธเจ้า" ได้ให้สาธุการ ๓ ครั้ง สุมนเศรษฐี ได้ยินดังนั้น จึงถามเทวดา ว่า "เราถวายทานมาเป็นเวลานานเท่านี้ เหตุไรท่านยังมิเคยให้สาธุการแก่เราเลย" เทวดาตอบ ว่า "เพราะความเลื่อมใสในบิณฑบาต ที่อันนภาระถวายแล้ว"
.....สุมนเศรษฐี เมื่อรู้เหตุนั้น จึงขอซื้อบุญนั้นกับอันนภาระ ด้วยทรัพย์ถึงพันกหาปนะ อันนภาระไม่ยอมขาย แต่ได้แบ่งบุญนั้นให้สุมนเศรษฐี อนุโมทนาด้วยศรัทธา เพราะฟังอุปมาของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นว่า "ข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง หรือทัพพีหนึ่งก็ตาม เมื่อบุคคลนั้น แบ่งส่วนในทานของตนให้แก่ ผู้อื่น ให้แก่คนมากเท่าใด บุญนั้นย่อมเจริญ เหมือนเมื่อแบ่งบุญนี้ให้เศรษฐีก็เท่ากับว่าเพิ่มบุญ เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของท่าน อีกส่วนหนึ่งเป็นของเศรษฐี เปรียบเหมือน ประทีปที่จุดไว้ในเรือนหลังเดียว เมื่อมีผู้นำประทีปอื่นมาขอต่อไฟ อีกร้อยดวง พันดวงก็ตาม ประทีปดวงแรก ในเรือนนั้นก็ยังมีแสงสว่างอยู่ และประทีปอีกร้อยดวง พันดวง ที่ต่อออกไปก็ยิ่งเพิ่มแสงสว่างให้สว่างอีกเป็นทวีคูณ ดุจบุญที่แม้แบ่งใครๆ แล้ว บุญนั้น ก็ยังมีอยู่มิได้หมดสิ้นไป ฉะนั้น" (ขุททกนิการ คาถาธรรมบท ภิกขุวรรค เรื่องสุมนสามเณร)
การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
. . . . . ในอังคุตตรนิกาย ทสกนิกาต ชาณุสโสณีสูตร ข้อ ๑๖๖ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบ ข้อสงสัย ของชาณุสโสณี พราหมณ์ ว่า ในบรรดา สัตว์ ทั้งหลาย มีสัตวนรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา และเปรตทั้งหลาย มีเปรตจำพวกเดียวที่ได้รับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ เพราะวิสัยของเปรต ย่อมยังชีพอยู่ด้วยทานที่หมู่ญาติ หรือหมู่มิตรสหายให้ไปจากมนุษย์โลกนี้เท่านั้น ส่วนสัตว์เหล่าอื่นที่ไม่ได้รับเพราะเหตุว่า
. . . . "สัตว์นรก" มีกรรมเป็นอาหาร มีกรรมเป็นเป็นผู้หล่อเลี้ยงอุปถัมภ์ ให้สัตว์นรกนั้นๆ มีชีวิตอยู่
. . . . "สัตว์เดรัจฉาน" มีชีวิตอยู่ด้วย ข้าว น้ำ หญ้า และเนื้อสัตว์ เป็นต้น
. . . . "มนุษย์" มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารมี ข้าวสุก และขนม เป็นต้น
. . . . "เทวดา" มีอาหารทิพย์ มิได้บริโภคอาหารเช่นเดียวกับมนุษย์
. . . . ส่วน "เปรต" นั้น ไม่มีการทำไร่ ไถนา ไม่มีการเลี้ยงโค ไม่มีการค้าขาย เปรต มีชีวิตอยู่ด้วยการให้ของผู้อื่นแต่อย่างเดียว เพราะฉะนั้น เปรตจึงอยู่ในฐานะที่จะรับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ เหมือน พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนบุญที่ได้ถวายทานแล้ว ให้แก่เปรตผู้เป็นญาติสายโลหิต ทั้งหลาย ที่รอคอย มาเป็นเวลานาน ดังในขุททกนิกายขุททกปาฐะ ติโรกุฑฑสูตร อรรถกถา กล่าวว่า
- ในขณะที่พระเจ้าพิมพิสาร ถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกิน แล้วทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ทันใดนั้น ข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น ให้อิ่มหนำ สำราญ มีอินทรีย์อิ่มเอิบ
- ในขณะที่พระราชานั้น ถวายผ้า และเสนาสนะเป็นต้น แล้วทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ทันใดนั้นเอง ผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาด และที่นอน อันเป็นทิพย์ บังเกิดขึ้นแล้ว แก่เปรตเหล่านั้น ได้สวมใส่ใช้สอย
- ในขณะที่พระราชา หลั่งน้ำทักษิโณทก (กรวดน้ำ) ทรงอุทิศว่า ขอทานเหล่านี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงมีความสุข ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดาษด้วยปทุม ก็บังเกิดแก่พวกเปรตเหล่านั้น ให้ได้อาบ ดื่มกิน ระงับความกระหายกระวนกระวายได้แล้ว มีผิวพรรณดุจทอง
การอุทิศส่วนบุญให้แก่เทวดา เรียกว่า เทวตาพลี
. . . . . ในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ปาฏลิคามิยสูตร แสดงไว้ว่า บุคคลเมื่อถวายปัจจัย ๔ แก่สงฆ์แล้ว พึงอุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่เทวดาด้วย เพราะว่าคนที่อุทิศส่วนบุญให้แก่เทวดาแล้ว เทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้น เพราะเทวดาพากันคิดว่า คนเหล่านี้แม้จะมิได้เป็นญาติกับเราก็ยังให้ส่วนบุญแก่เราได้ ฉะนั้น เราควรอนุเคราะห์พวกเขาตามสมควร
. . . . อนึ่งพึงเข้าใจว่า เทวดา เมื่อท่านทราบแล้ว ท่านอนุโมทนากุศลนั้นด้วย ท่านก็เพียงแต่เกิดกุศลจิตพลอยยินดีด้วยเท่านั้น ท่านมิได้รับผลของทาน ที่มีผู้อุทิศไปโดยตรง เหมือนอย่างเปรตที่ได้รับ
บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้
๑) ไม่มีความอดอยาก ยากจน
๒) ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
๓) มีบริวารดี
๔) เป็นที่รักของผู้พบเห็น
๕) มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม
๖) มีอายุยืน
ศัพท์ว่า ปัตติ ในที่นี้แปลว่า ส่วนบุญ ส่วนความดี ปัตติทาน แปลว่า การให้ส่วนบุญหรือส่วนความดี เมื่อได้ทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นถวายทานแก่พระสงฆ์เป็นต้นแล้วอุทิศให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว หรือตั้งใจมอบหรือถวายให้ส่วนบุญส่วนความดีนั้นแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้เขาได้รื่นเริงบันเทิงอนุโมทนาเป็นสุขใจต่อๆ ไป หรือเพื่อเขาจะได้อนุวัตรปฏิบัติบำเพ็ญบุญตามให้เกิดสุขยิ่ง ๆ ขึ้นโดยควรแก่ฐานะ และเพื่อจัดความตระหนี่ซึ่งเป็นมลทินของตนประการหนึ่ง ชื่อว่าวัณณมัจฉริยะ ตระหนี่ความดี หวงแหนความดีเอาดีแต่ผู้เดียว ไม่ยอมให้ผู้อื่นดีบ้าง
การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป
การแบ่งส่วนบุญ ให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
.....นายอันนภาระ เป็นคนขนหญ้าของสุมนเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี ได้ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า อุปริฏฐะ ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยอานิสงส์ ของทานนี้ ขอความเป็นผู้ขัดสนอย่าได้มีแก่เรา คำว่า "ไม่มี" ขออย่าได้มีในภพน้อยภพใหญ่ ที่บังเกิด พระปัจเจกพุทธเจ้า กระทำ อนุโมทนาว่า "ขอความปรารถนาของท่านจงสำเร็จเถิด"
.....เทวดาที่สิงอยู่ในฉัตรของบ้าน สุมนเศรษฐี กล่าวว่า "น่าชื่นใจจริง ทานของท่านอันนภาระตั้งไว้ดีแล้วในพระปัจเจกพุทธเจ้า" ได้ให้สาธุการ ๓ ครั้ง สุมนเศรษฐี ได้ยินดังนั้น จึงถามเทวดา ว่า "เราถวายทานมาเป็นเวลานานเท่านี้ เหตุไรท่านยังมิเคยให้สาธุการแก่เราเลย" เทวดาตอบ ว่า "เพราะความเลื่อมใสในบิณฑบาต ที่อันนภาระถวายแล้ว"
.....สุมนเศรษฐี เมื่อรู้เหตุนั้น จึงขอซื้อบุญนั้นกับอันนภาระ ด้วยทรัพย์ถึงพันกหาปนะ อันนภาระไม่ยอมขาย แต่ได้แบ่งบุญนั้นให้สุมนเศรษฐี อนุโมทนาด้วยศรัทธา เพราะฟังอุปมาของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นว่า "ข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง หรือทัพพีหนึ่งก็ตาม เมื่อบุคคลนั้น แบ่งส่วนในทานของตนให้แก่ ผู้อื่น ให้แก่คนมากเท่าใด บุญนั้นย่อมเจริญ เหมือนเมื่อแบ่งบุญนี้ให้เศรษฐีก็เท่ากับว่าเพิ่มบุญ เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของท่าน อีกส่วนหนึ่งเป็นของเศรษฐี เปรียบเหมือน ประทีปที่จุดไว้ในเรือนหลังเดียว เมื่อมีผู้นำประทีปอื่นมาขอต่อไฟ อีกร้อยดวง พันดวงก็ตาม ประทีปดวงแรก ในเรือนนั้นก็ยังมีแสงสว่างอยู่ และประทีปอีกร้อยดวง พันดวง ที่ต่อออกไปก็ยิ่งเพิ่มแสงสว่างให้สว่างอีกเป็นทวีคูณ ดุจบุญที่แม้แบ่งใครๆ แล้ว บุญนั้น ก็ยังมีอยู่มิได้หมดสิ้นไป ฉะนั้น" (ขุททกนิการ คาถาธรรมบท ภิกขุวรรค เรื่องสุมนสามเณร)
การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
. . . . . ในอังคุตตรนิกาย ทสกนิกาต ชาณุสโสณีสูตร ข้อ ๑๖๖ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบ ข้อสงสัย ของชาณุสโสณี พราหมณ์ ว่า ในบรรดา สัตว์ ทั้งหลาย มีสัตวนรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา และเปรตทั้งหลาย มีเปรตจำพวกเดียวที่ได้รับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ เพราะวิสัยของเปรต ย่อมยังชีพอยู่ด้วยทานที่หมู่ญาติ หรือหมู่มิตรสหายให้ไปจากมนุษย์โลกนี้เท่านั้น ส่วนสัตว์เหล่าอื่นที่ไม่ได้รับเพราะเหตุว่า
. . . . "สัตว์นรก" มีกรรมเป็นอาหาร มีกรรมเป็นเป็นผู้หล่อเลี้ยงอุปถัมภ์ ให้สัตว์นรกนั้นๆ มีชีวิตอยู่
. . . . "สัตว์เดรัจฉาน" มีชีวิตอยู่ด้วย ข้าว น้ำ หญ้า และเนื้อสัตว์ เป็นต้น
. . . . "มนุษย์" มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารมี ข้าวสุก และขนม เป็นต้น
. . . . "เทวดา" มีอาหารทิพย์ มิได้บริโภคอาหารเช่นเดียวกับมนุษย์
. . . . ส่วน "เปรต" นั้น ไม่มีการทำไร่ ไถนา ไม่มีการเลี้ยงโค ไม่มีการค้าขาย เปรต มีชีวิตอยู่ด้วยการให้ของผู้อื่นแต่อย่างเดียว เพราะฉะนั้น เปรตจึงอยู่ในฐานะที่จะรับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ เหมือน พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนบุญที่ได้ถวายทานแล้ว ให้แก่เปรตผู้เป็นญาติสายโลหิต ทั้งหลาย ที่รอคอย มาเป็นเวลานาน ดังในขุททกนิกายขุททกปาฐะ ติโรกุฑฑสูตร อรรถกถา กล่าวว่า
- ในขณะที่พระเจ้าพิมพิสาร ถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกิน แล้วทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ทันใดนั้น ข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น ให้อิ่มหนำ สำราญ มีอินทรีย์อิ่มเอิบ
- ในขณะที่พระราชานั้น ถวายผ้า และเสนาสนะเป็นต้น แล้วทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ทันใดนั้นเอง ผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาด และที่นอน อันเป็นทิพย์ บังเกิดขึ้นแล้ว แก่เปรตเหล่านั้น ได้สวมใส่ใช้สอย
- ในขณะที่พระราชา หลั่งน้ำทักษิโณทก (กรวดน้ำ) ทรงอุทิศว่า ขอทานเหล่านี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงมีความสุข ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดาษด้วยปทุม ก็บังเกิดแก่พวกเปรตเหล่านั้น ให้ได้อาบ ดื่มกิน ระงับความกระหายกระวนกระวายได้แล้ว มีผิวพรรณดุจทอง
การอุทิศส่วนบุญให้แก่เทวดา เรียกว่า เทวตาพลี
. . . . . ในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ปาฏลิคามิยสูตร แสดงไว้ว่า บุคคลเมื่อถวายปัจจัย ๔ แก่สงฆ์แล้ว พึงอุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่เทวดาด้วย เพราะว่าคนที่อุทิศส่วนบุญให้แก่เทวดาแล้ว เทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้น เพราะเทวดาพากันคิดว่า คนเหล่านี้แม้จะมิได้เป็นญาติกับเราก็ยังให้ส่วนบุญแก่เราได้ ฉะนั้น เราควรอนุเคราะห์พวกเขาตามสมควร
. . . . อนึ่งพึงเข้าใจว่า เทวดา เมื่อท่านทราบแล้ว ท่านอนุโมทนากุศลนั้นด้วย ท่านก็เพียงแต่เกิดกุศลจิตพลอยยินดีด้วยเท่านั้น ท่านมิได้รับผลของทาน ที่มีผู้อุทิศไปโดยตรง เหมือนอย่างเปรตที่ได้รับ
บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้
๑) ไม่มีความอดอยาก ยากจน
๒) ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
๓) มีบริวารดี
๔) เป็นที่รักของผู้พบเห็น
๕) มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม
๖) มีอายุยืน
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
หลวงตามหาบัวละสังขาร
เรามีชีวิตอยู่นี้
เราทำด้วยความเมตตา
สงสารต่อโลก "เราจะทำความดี"
ให้โลกทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่าง
เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว
เราจะไม่มาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป
เป็นตลอดอนันตกาล
คิดถึงหลวงตา คิดถึงคำสอนของหลวงตา
ความเจริญเสื่อมถอย
ความเจริญเป็นสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดมีด้วยศรัทธาในความดี แต่ธรรมดาของการดำเนินไปแห่งชีวิตที่ต้องประสบทั้งสุขและทุกข์ตามเหตุและปัจจัยที่มากระทบ บ่อยครั้งที่แรงกระทบอันเป็นวิบาก (เครื่องกั้นความเจริญ) ที่เกิดจากผลแห่งการกระทำครั้งเก่าก่อน (กรรม) หรือแม้แต่กรรมอันเป็นปัจจุบันที่ขาดสตินั้นมำแดงผลเกิดเป็นความทุกข์ที่รุมเร้าใจกระหน่ำเป็นมรสุมชีวิต (ความปรุงแต่งจิต ณ ปัจจุบัน) ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็อาจทำให้เรารู้สึกท้อแท้ ถดถอยที่จะกระทำความดี ความเจริญนั้น นี้เป็นเหตุให้ความเจริญเสื่อมถอย
หากเพียงแต่เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เฝ้ามองตน มองใจของตน ณ เวลาที่ทุกข์กระทบใจให้ยิ่ง มองตนให้มากเพราะเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจของเราที่ไม่ไม่เข้าใจธรรมทั้งปวงว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืน แน่นอน แปรไปตามปัจจัย แล้วไปหลงยึดมั่นในอารมณ์ ความรู้สึก (ทุกข์) ณ เวลานั้นว่าช่างทุกข์เสียเหลือเกิน และมักจะไปเพ่งโทษผู้่อื่นที่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์นั้น
หากเราหันกลับมามองตัวเองให้มาก เพ่งโทษผู้อื่นให้น้อยลง สร้างเมตตาจิตให้เกิดกับตนด้วยการสร้างมุมมอง แง่คิดกับผู้เป็นปัจจัยที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ว่าแท้จริงแล้วเขาทั้งหลายก็เป็นผู้อยู่ในกองทุกข์ แล้วยังหลงสร้างความทุกข์ซับซ้อน ทับถมตนเองอีก เขาทั้งหลายเหล่าน่าสงสารกว่าเรานัก และที่สำคัญเหตุการณ์ที่เขาเป็นปัจจัยสร้างทุกข์ให้กับเรามันจบไปแล้ว ณ เวลาที่ผ่านมา เราเองต่างหากที่หลงยึดสิ่งที่เปลี่ยนไปด้วยความเขลาแห่งตนจนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความเจริญแห่งเราท่านทั้งหลายจะไม่มีวันเสื่อมถอยเลย
ดั่งคำกล่าวที่ว่า "คิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน" เราท่านทั้งหลายพึงมาร่วมเพียร หัด จัดสร้างความคิดใหม่ๆ ให้กับชีวิต ให้สมกับการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา อันได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งปัญญา แห่งผู้รู้ตื่นและเบิกบานกันเถิด เรามาเป็นดอกบัวที่ชูช่อตระหง่านรับแสงแห่งตะวันเพื่อการเบ่งบานแห่งกลีบช่อกันเถิด
หากเพียงแต่เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เฝ้ามองตน มองใจของตน ณ เวลาที่ทุกข์กระทบใจให้ยิ่ง มองตนให้มากเพราะเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจของเราที่ไม่ไม่เข้าใจธรรมทั้งปวงว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืน แน่นอน แปรไปตามปัจจัย แล้วไปหลงยึดมั่นในอารมณ์ ความรู้สึก (ทุกข์) ณ เวลานั้นว่าช่างทุกข์เสียเหลือเกิน และมักจะไปเพ่งโทษผู้่อื่นที่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์นั้น
หากเราหันกลับมามองตัวเองให้มาก เพ่งโทษผู้อื่นให้น้อยลง สร้างเมตตาจิตให้เกิดกับตนด้วยการสร้างมุมมอง แง่คิดกับผู้เป็นปัจจัยที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ว่าแท้จริงแล้วเขาทั้งหลายก็เป็นผู้อยู่ในกองทุกข์ แล้วยังหลงสร้างความทุกข์ซับซ้อน ทับถมตนเองอีก เขาทั้งหลายเหล่าน่าสงสารกว่าเรานัก และที่สำคัญเหตุการณ์ที่เขาเป็นปัจจัยสร้างทุกข์ให้กับเรามันจบไปแล้ว ณ เวลาที่ผ่านมา เราเองต่างหากที่หลงยึดสิ่งที่เปลี่ยนไปด้วยความเขลาแห่งตนจนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความเจริญแห่งเราท่านทั้งหลายจะไม่มีวันเสื่อมถอยเลย
ดั่งคำกล่าวที่ว่า "คิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน" เราท่านทั้งหลายพึงมาร่วมเพียร หัด จัดสร้างความคิดใหม่ๆ ให้กับชีวิต ให้สมกับการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา อันได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งปัญญา แห่งผู้รู้ตื่นและเบิกบานกันเถิด เรามาเป็นดอกบัวที่ชูช่อตระหง่านรับแสงแห่งตะวันเพื่อการเบ่งบานแห่งกลีบช่อกันเถิด
วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
สงบเย็น เป็นประโยชน์.
...สงบเย็น เป็นประโยชน์...
" งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน...สุขแท้มีแต่ในงาน
คนสร้างงาน งานสร้างคนด้วยผลของงาน
ไม่มีอะไรในชีวิต นอกจากกาย-จิต.. ชีิวิต-งาน "
" งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน...สุขแท้มีแต่ในงาน
คนสร้างงาน งานสร้างคนด้วยผลของงาน
ไม่มีอะไรในชีวิต นอกจากกาย-จิต.. ชีิวิต-งาน "
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ - ๓. บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย )
คือการอบรมจิตใจในการละกิเล ส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใ ช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด
" ภาวนา " แปลว่า การทำให้มีขึ้น ทำให้เกิดขึ้น ได้แก่ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความ สงบ ขั้นสมาธิและปัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงข ้อปฏิบัติไว้ ๒ ประการ คือ สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา
สมถภาวนา คือ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิด ความสงบ จนตั้งมั่น เป็นสมาธิ อารมณ์ อันเป็นที่ตั้ง แห่งการเจริญ สมถภาวนา ชื่อว่า กรรมฐาน มี ๔๐ ประเภท คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฏฐาน(รายละเอี ยดในวิสุทิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒)
วิปัสสนาภาวนา คือ การฝึกอบรม เจริญปัญญา ให้เกิดความ รู้แจ้งใน สภาพธรรมที่ เป็นจริง ตามสภาพ ของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา กรรมฐาน อันเป็น ที่ตั้ง ของการ เจริญ วิปัสสนา ภาวนาได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ว่า หนทางปฏิบัติ เพื่อการ เข้าไป รู้แจ้งลักษณ์ ของ สภาพธรรมทั้ง ๖ ประการ นี้ มีเพียง ทางเดียว ที่จะนำไปสู่ พระนิพพานได้ ทางสายเอกนั้นได้แก่ สติปัฏฐาน ๔
- กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นกายในกาย มี ๑๔ ข้อ
- เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นเวทนาในเสทนา มี ๙ ข้อ
- จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นจิตในจิต มี ๑๖ ข้อ
- ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มี ๕ ข้อ
สำหรับ การเจริญภาวนา ในขั้น บุญกิริยาวัตถุ นี้ โดยทั่วไป ท่านหมายเอาเพียง มหากุศลธรรมดา แต่หากว่าผู้ใด ได้ศึกษา ข้อปฏิยัติ ให้มีความเข้าใจ ก่อนลงมือปฏิบัติ แล้วพากเพียรปฏิบัติ ให้ถูกต้อง ตามแนวทาง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ ก็สามารถเป็นบันได ให้ก้าวไปถึงฌาน หรือมรรคผลได้
(รายละเอียดในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๑๓๑ - ๑๕๒ และทีฆนิกาย มหาวรรค สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๒๗๓ - ๓๐๐)
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้แน ะนำให้พระราหุลเจริญภาวนาหก ประการดังที่ปรากฎในมหาราหุ โลวาทสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (13/145/114) ความว่า “ดูกรราหุล
เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาว นาอยู่จักละ "พยาบาท" ได้
เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาว นาอยู่ จักละ "วิหิงสา" ได้
เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภา วนาอยู่ จักละ "อคติ" ได้
เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภ าวนาอยู่ จักละ "ปฏิฆะ" ได้
เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวน าอยู่ จักละ "ราคะ" ได้
เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเ ถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญ ญาภาวนาอยู่ จักละ "อัสมิมานะ" ได้
บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริ ญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้
๑) มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม
๒) มีผิวพรรณผ่องใส
๓) มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
๔) มีความจำดี และกำลังปัญญาว่องไว
๕) เป็นคนใจคอเยือกเย็น
๖) เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น
๗) มีบุคลิกอันน่าศรัทธา
๘) เกิดในตระกูลดี
๙) มีบุคลิกสง่างาม
๑๐) มีมิตรสหายมาก
๑๑) เป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่ วไป
๑๒) เป็นที่ชื่นชอบของบัณฑิต
๑๓) สมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔
๑๔) ปราศจากอกุศลทั้งปวง
๑๕) ปลอดภัยจากศาสตราวุธ
๑๖) มีอายุยืน
๑๗) ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ
คือการอบรมจิตใจในการละกิเล
" ภาวนา " แปลว่า การทำให้มีขึ้น ทำให้เกิดขึ้น ได้แก่ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความ
สมถภาวนา คือ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิด ความสงบ จนตั้งมั่น เป็นสมาธิ อารมณ์ อันเป็นที่ตั้ง แห่งการเจริญ สมถภาวนา ชื่อว่า กรรมฐาน มี ๔๐ ประเภท คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฏฐาน(รายละเอี
วิปัสสนาภาวนา คือ การฝึกอบรม เจริญปัญญา ให้เกิดความ รู้แจ้งใน สภาพธรรมที่ เป็นจริง ตามสภาพ ของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา กรรมฐาน อันเป็น ที่ตั้ง ของการ เจริญ วิปัสสนา ภาวนาได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ว่า หนทางปฏิบัติ เพื่อการ เข้าไป รู้แจ้งลักษณ์ ของ สภาพธรรมทั้ง ๖ ประการ นี้ มีเพียง ทางเดียว ที่จะนำไปสู่ พระนิพพานได้ ทางสายเอกนั้นได้แก่ สติปัฏฐาน ๔
- กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นกายในกาย มี ๑๔ ข้อ
- เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นเวทนาในเสทนา
- จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นจิตในจิต มี ๑๖ ข้อ
- ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มี ๕ ข้อ
สำหรับ การเจริญภาวนา ในขั้น บุญกิริยาวัตถุ นี้ โดยทั่วไป ท่านหมายเอาเพียง มหากุศลธรรมดา แต่หากว่าผู้ใด ได้ศึกษา ข้อปฏิยัติ ให้มีความเข้าใจ ก่อนลงมือปฏิบัติ แล้วพากเพียรปฏิบัติ ให้ถูกต้อง ตามแนวทาง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ ก็สามารถเป็นบันได ให้ก้าวไปถึงฌาน หรือมรรคผลได้
(รายละเอียดในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๑๓๑ - ๑๕๒ และทีฆนิกาย มหาวรรค สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๒๗๓ - ๓๐๐)
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้แน
เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาว
เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาว
เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภา
เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด
เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวน
เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเ
บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริ
๑) มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม
๒) มีผิวพรรณผ่องใส
๓) มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
๔) มีความจำดี และกำลังปัญญาว่องไว
๕) เป็นคนใจคอเยือกเย็น
๖) เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น
๗) มีบุคลิกอันน่าศรัทธา
๘) เกิดในตระกูลดี
๙) มีบุคลิกสง่างาม
๑๐) มีมิตรสหายมาก
๑๑) เป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่
๑๒) เป็นที่ชื่นชอบของบัณฑิต
๑๓) สมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔
๑๔) ปราศจากอกุศลทั้งปวง
๑๕) ปลอดภัยจากศาสตราวุธ
๑๖) มีอายุยืน
๑๗) ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ
นิทานธรรม วันพระ
.....พรานคงและคนรุ่นเก่า ๆ ให้สัจจะปฏิญาณว่า ถึงจะล่าสัตว์ก็จริง แต่จะไม่ล่าและฆ่าลิง ค่าง บ่าง ชนี เพราะสัตว์เหล่านี้เมื่อถลก หนังออกแล้ว มีสภาพคล้ายเด็กทารกแดง ๆ และเลือกไม่ฆ่า ช้าง เต่า เพราะสัตว์ที่ว่านี้ อายุยืน การฆ่าสัตว์ที่อายุยืนนั้นท ่านว่า ...ชดใช้เวรใช้กรรมกันชาติต กนรกหลายขุมนัก หลายคนพูดเล่น ๆ ว่า กรรมนั้นมนุษย์สร้างกันแยะเ หลือเกินมากเสียจนล้นเมืองน รกแล้ว ยังไงก็ไม่เบาบางลง ดังนั้นเมื่อมนุษย์ยังไม่วา งมือจากกรรม ก็ให้กรรมนั้นจัดการลงโทษเส ีย แต่เมืองมนุษย์เพื่อแบ่งเบา เมืองนรกบ้าง คนที่ไม่เชื่ออาจจะหัวเราะเ ยอะว่างมงาย พวกโบราณล้าสมัย เป็นความเชื่อของบุคคล เพราะอะไรๆที่ถึงขั้นเป็นเว รเป็นกรรมต่อกันนั้นมักจะทั นตาเห็นในชาตินี้ภพนี้นี่แห ละ
นายชาติมีอาชีพเก็บมะพร้าวข าย เพราะพ่อของนายชาติมีที่ดิน อยู่หลายไร่ เป็นมรดกจากพ่อแม่ทิ้งไว้ให ้ การหากินเลี้ยงชีพของนายชาต ิจึงไม่ฝืดเคือง เขาได้แต่งงานกับสาวหมู่บ้า นเดียวกันและมีลูกด้วยกัน 2 คน นิสัยของนายชาติค่อนข้างไปท างเกเร ชอบดื่มเหล้าเล่นการพนัน พรรคพวกเพื่อนฝูงของนายชาติ มีนิสัยคล้ายคลึงกัน
เป็นความจริงที่ว่า คนดื่มเหล้าเก่งมักทำอาหารเ ก่งและอาหารแปลก ๆ สิ่งที่โปรดปรานมากที่สุดก็ คือเต่า สัตว์ที่เคลื่อนไหวได้ช้า ไม่มีอาวุธป้องกันตัว ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครจะเ อาเต่าย่างสด หรือว่าจะให้นายชาติทำอย่าง ไรกับเต่าก็บอกมานายชาติทำไ ด้ทุกอย่างขอให้บอกมา การฆ่าเต่าเป็นพฤติกรรมที่แ ปลก เต่าตะพาบน้ำนั้นนายชาติกิน เป็นประจำ วันไหนมีติดตลาดนัด นายชาติจะให้ภรรยาไปเหมาเต่ าตัวเล็ก ๆ มา สรุปแล้วเขามีผัดเนื้อเต่า ยำเต่า เป็นกับแกล้มประจำ
วิธีการทำเต่าเป็น ๆ เอาเนื้อออกจากกระดองนั้น นายชาติจะก่อกองไฟแล้วเผาเต ่าทั้งกระดองทั้งตัวความร้อ นทำให้เต่าดิ้นทุรนทุราย นายคำจะเอาก้อนหินวางทับเพื ่อไม่ให้เต่าหนี จนกระทั่งเต่าตาย
เคยมีคนถามนายชาติว่า
“ อย่างนี้เต่ามันก็ร้อนสิ ”
นายชาติตอบว่า “ เออ...ก็ร้อนซิว๊ะ ไม่งั้นเต่ามันจะตายเหรอ ”
คำตอบของนายชาติมิได้แสดงถึ งความเจ็บปวดที่เต่าได้รับ ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นสิ่งที่ภูมใจใน การกระทำเสียอีก
พวกที่ถามต้องส่ายหน้าและแส นที่จะสงสารเต่าที่จะต้องโด นโยนเข้ากองไฟ..... “ เฮ้อ...ไม่น่าทำมันเลย ” นายชาติกลับตอบว่า “ ก็ของกินอร่อยนี่หว่า.. .” “ ไม่กลัวบาปกลัวกรรมบ้างเหรอ ” “ อิ่มโว้ย....บาปกรรมไม่รู้จ ัก ” เป็นคำตอบที่คนในหมู่บ้านได ้ยินเสมอจนชินหู ๑ ปีต่อมา เดือน ๑๐ ฤดูน้ำหลาก ทางเหนือจะมีน้ำท่วมเต่าใหญ ่ที่มีรูปแกะสลักกระดองด้าน หลังไว้เป็นชื่อท่านสมภารคน เก่าซึ่งมรภาพไปแล้ว ลักษณะขนาดของเต่าบ่งบอกถึง อายุเต่าตัวที่ว่านี้มากกว่ าอายุนายชาติเสียอีกแน่นอน
ปีนั้นน้ำเหนือมากจนเต่าตัว นั้นหลุดออกมาจากบ่อ ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน ชาวบ้านมีความห่วงเต่าตัวนั ้นได้สอบถามยังที่ต่าง ๆ ชาวบ้านถือว่าเต่าตัวนี้เป็ นเต่าศักดิ์สิทธิ์ มีคนเคยถูกหวยมาแล้ว เพราะได้มาบนบานกราบไหว้เต่ าและก็ได้ผลตามที่ขอกันก็หล ายเจ้า พวกที่เคารพเต่าว่าเป็นเต่า ศักดิ์สิทธิ์ได้พากันไปบนบา นตามเจ้าที่ต่างๆเพื่อว่าให ้เต่าตัวนี้ได้กลับมาอยู่ที ่วัดเหมือนดังเดิม นายชาติรู้เรื่องนี้ทั้งหมด ด้วยความขบขันที่ชาวบ้านเซ่ อซ่าในในสายตาของนายชาติยิ่ งนัก เพราะที่จริงแล้วนายชาติได้ จับเอาเต่าที่ชาวบ้านตามหาน ั้นมาขังไว้
บ้านนายชาติไม่ได้ห่างจากวั ดสักเท่าไหร่ วันนั้นเขากำลังจับปลาอยู่ใ นสวน ได้พบเต่าที่หลุดมาจากวัด สิ่งแรกที่คิดก็คือ ผัดเผ็ดเต่า ต้มยำเต่า และเนื้อเค็ม ตามรูปแบบของคนที่ไม่คิดถึง เวรกรรมจะแกล้มเหล้าท่าเดีย ว เรื่องนี้ก็รู้กันในแวดวงญา ติ ๆ ไม่กี่คน ทุกคนไม่เห็นด้วยกับเจตนาที ่นายชาติจะฆ่าเต่าเอาเนื้อม ากิน ทุกคนห้ามปราม และให้คืนเต่าแก่วัดเสีย
นายชาติกลับเห็นเป็นเรื่องต ลกแทนที่ตามที่ญาติบอก กลับขอร้องทุกคนที่รู้อย่าแ พร่งพรายให้รู้เป็นอันขาด และแล้ววันนั้นก็มาถึง นายชาติก่อไฟ พร้อมกับมัดเต่าติดกับแป๊บน ้ำเหล็กขนาด ๒ นิ้ว ยาวเกือบเมตร เพราะเต่ามีขนาดใหญ่เกือบเท ่ากระทะใบบัว ที่ชนบทให้หุงข้าวกระทะ ภาพที่ชวนเวทนาคือภาพเต่าถู กนำมาเผาไฟ แบบหมูหัน นายชาติได้พรรคพวกที่ชอบเนื ้อเต่ามาร่วมกรรม เพราะคอเหล้าเหมือนกัน
ไฟนั้นลุกโหมแรง จนเพื่อนนายสินให้ลาไฟเต่าจ ะไหม้ พร้อมกับลากเต่าออกมาจากกอง ไฟ แต่ผิดคาด เต่านั้นแสนจะทนทายาท พอพ้นจากการเผาก็เกียกตะกาย ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดแสนสา หัส แทนที่นายชาติจะมีจิตเวทนา กลับด่าซ้ำลงไปอีกว่า “ ตายยากนักหรือมึง ... เดี๋ยวรู้เอง ”
ไม่พูดเปล่า นายชาติผู้มีจิตสุดบาปก็คว้ ามีดปาดตาลอันคมกริบหมายจะเ ชือด แต่เต่ารู้ทันจึงหดหัวอยู่ใ นกระดองจะทำยังไงมันก็ไม่ยอ มโผล่หัวออกมา จนแล้วจนรอด ในที่สุดนายชาติใช้คีบเหล็ก ขนาดเขื่องแหย่เข้าไป พร้อมกับคีบจมูกเต่าผู้น่าเ วทนาออกมา และใช้มีดปาดตาลอันคมกริบเช ือดคอเต่าจนขาด เลือดพุ่งเป็นน้ำ เต่ายื่นขาดิ้น แต่นายชาติกลับเห็นเป็นเรื่ องน่ารำคาญ หลังจากนั้นก็แปรสภาพเป็นอา หารจานเด็ดแกล้มเหล้าสนองกิ เลส
เพียงอาทิตย์เดียวผ่านไปกรร มเริ่มคิดบัญชีสะสางทันที มันเกิดขึ้นเมื่อนายชาติกำล ังขึ้นมะพร้าวที่สวน เกิดพลาดร่างลอยละลิ่วตกลงม าหลังมาหลังฟาดกับคันดินขอบ ท้องร่อง อาการหนัก นายชาติตกจากต้นมะพร้าวสูงถ ึง ๑๒ เมตร ไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ นายชาติคลานกลับบ้านด้วยควา มลำบากเพราะกระดูกหลังหัก ถึงบ้านก็ลุกไม่ได้ สลบอยู่หลายชั่วโมงจึงลุกขึ ้นมา
ลูกเมียมาเห็นจึงช่วยกันนำข ึ้นบนบ้าน แต่เนื่องจากนายชาติเป็นคนม ีฐานะดี จึงให้หมอมารักษาที่บ้านซึ่ งต้องเข้าเฝือกที่สันหลัง นอนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ ญาติ ๆ ลงความเห็นว่าเป็นเพราะกรรม ที่มันตามมาทัน ที่นายชาติได้ฆ่าเต่ามานักต ่อนักแล้ว ถึงได้เป็นเช่นนี้ นายชาติไม่พอใจตวาดไปว่า
“รำคาญจริงโว้ย...ข้ากินเต่ ามาตั้งแต่หนุ่มไม่เห็นเป็น อะไร กะอีแค่เต่าตัวใหญ่ตัวเดียว เป็นเรื่องพูดกันน่ารำคาญ มันจะสำคัญกันสักเท่าไหร่กั นเชียว ”
ญาติ ๆ นั้นรู้กันเต็มอก แต่ก็จนใจเพราะนายชาติเป็นค นหัวดื้อ และอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย เขาอยู่ในสภาพเป็นอัมพาต จนเย็นวันหนึ่งเกิดไฟลุกไหม ้ท่วมบ้านของนายชาติ โดยเฉพาะตรงที่เขานอน ชาวบ้านพากันแตกตื่นมาช่วยก ันดับไฟกันโกลาหล กว่าจะดับไฟได้นายชาติก็เกื อบกลายเป็นศพ ไฟไหม้ตามตัวพุพอง หนำซ้ำโครงหลังคาบ้านก็ได้ห ักลงมาตีหน้าจนดั้งจมูกหักอ ีก
สภาพนายชาติตอนนี้เหมือนซาก ศพที่ยังหายใจได้ หลังจากเกิดเหตุแล้ว จึงพบว่าก่อนเกิดเหตุนายชาต ิคงได้ตะกุยตะกายจะหยิบสิ่ง ของ มือซึ่งประสาทควบคุมไม่ได้จ ึงไปปัดตะเกียงน้ำมันล้ม ไฟจึงลุกไหม้ที่เขานอน เหมือนกรรมมาซ้ำเติม แผลจากกระดูกยังไม่หาย ดั้งจมูกที่หักก็เริ่มเน่าเ ป็นหนอง สารพัดหมอทั้งหมอหลวง หมอชาวบ้านก็จนปัญญา
โรคเกิดจากเวรกรรมนั้นไม่ว่ าจะเยียวยาด้วยอะไรก็หายยาก หรือไม่หายเลย เวลานอนก็ละเมอร้องโวยว่า เห็นเต่ามาคอยรับวิญญาณเต็ม ไปหมด หลังจากทรมานได้เดือนเศษ ๆ นายชาติทุรนทุรายเป็นที่น่า สงสารแก่ญาติ ๆ ก่อนจะสิ้นลมสภาพนั้นไม่แตก ต่างอะไรกับเต่าที่เผาไฟ
ยัง.....บัญชียังถูกสะสางอี กในอบายภูมิแน่นอน และจะต้องเกิดมาให้เขาเผาไฟ เขาฆ่าเชือดคออีกจนกว่าจะคร บวงจรกรรมที่สร้างไว้พร้อมด อกเบี้ยกรรม ตามกฏของกรรม
นายชาติมีอาชีพเก็บมะพร้าวข
เป็นความจริงที่ว่า คนดื่มเหล้าเก่งมักทำอาหารเ
วิธีการทำเต่าเป็น ๆ เอาเนื้อออกจากกระดองนั้น นายชาติจะก่อกองไฟแล้วเผาเต
เคยมีคนถามนายชาติว่า
“ อย่างนี้เต่ามันก็ร้อนสิ ”
นายชาติตอบว่า “ เออ...ก็ร้อนซิว๊ะ ไม่งั้นเต่ามันจะตายเหรอ ”
คำตอบของนายชาติมิได้แสดงถึ
พวกที่ถามต้องส่ายหน้าและแส
ปีนั้นน้ำเหนือมากจนเต่าตัว
บ้านนายชาติไม่ได้ห่างจากวั
นายชาติกลับเห็นเป็นเรื่องต
ไฟนั้นลุกโหมแรง จนเพื่อนนายสินให้ลาไฟเต่าจ
ไม่พูดเปล่า นายชาติผู้มีจิตสุดบาปก็คว้
เพียงอาทิตย์เดียวผ่านไปกรร
ลูกเมียมาเห็นจึงช่วยกันนำข
“รำคาญจริงโว้ย...ข้ากินเต่
ญาติ ๆ นั้นรู้กันเต็มอก แต่ก็จนใจเพราะนายชาติเป็นค
สภาพนายชาติตอนนี้เหมือนซาก
โรคเกิดจากเวรกรรมนั้นไม่ว่
ยัง.....บัญชียังถูกสะสางอี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
น้ำกับทิฐิ
นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อว่า...ทิฐิ... เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดีไม่ต่างจากชื่อ เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว ทิฐิคนนี้ก็จะยึดม...
-
มัชฌิมาปฏิปทาในทางพุทธศาสนาหมายถึงทางสายกลาง คือ การไม่ยึดถือสุดทางทั้ง 2 ได้แก่ อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบตนเองให้ลำบากเกิน...
-
อุปสรรคของสมาธิคืออะไร..? อุปสรรคของสมาธิ ได้แก่ นิวรณ์ หมายถึง สิ่งที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณความดี, ไม่ให้บรรลุสมาธิได้ มี 5 อ...
-
.....พรานคงและคนรุ่นเก่า ๆ ให้สัจจะปฏิญาณว่า ถึงจะล่าสัตว์ก็จริง แต่จะไม่ล่าและฆ่าลิง ค่าง บ่าง ชนี เพราะสัตว์เหล่านี้เมื่อถลก หนังออกแล้ว ม...