คำว่า ทาน

จากหนังสือธรรมปฏิบัติ เล่ม 12 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
อามิสทาน
คำว่า "ทาน" แปลว่า "การให้" การให้นี้มีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสไว้ ให้สรรพสิ่งของต่างๆ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่าอามิสทาน ได้แก่การให้วัตถุ จะเป็นเงินหรือวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องบริโภคก็ตาม เรียกว่าอามิสทานทั้งนั้น
ธรรมทาน
ทานอีกส่วนหนึ่งที่องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงกล่าวก็ได้แก่ธรรมทาน ธรรมทานในที่นี้ก็ได้แก่การบอกธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เหตุผลให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อย่างนี้เป็นต้นอย่างหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าธรรมทาน
ธรรมทานอีกส่วนหนึ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าสำคัญที่สุดจัดว่าเป็นปรมัตถทาน คือ เป็นทานที่ไม่ต้องลงทุน ก็ได้แก่ "อภัยทาน"
ทานทั้ง 2 อย่างนี้มีผลต่างกัน "อามิสทานนั้นให้ผลอย่างสูงก็แค่กามาวจรสวรรค์" ตามนัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสไว้ว่า "ทานัง สัคคโส ปาณัง" คือว่า "การให้ทานย่อมเป็นปัจจัยเป็นบันไดไปสู่สวรรค์" นี่สำหรับอามิสทาน
แต่สำหรับธรรมทาน กล่าวคือ ให้ธรรมเป็นทานก็ดี ให้อภัยทานก็ดี ทานทั้ง 2 ประการนี้เป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน
สำหรับธรรมทาน ทานที่ 2 นี่มีความสำคัญมาก การให้ธรรมเป็นทาน กล่าวคือ
นำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เอามาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าเทศน์เองไม่เป็นก็ไปหาคนอื่นมาเทศน์แทน อย่างนี้ก็ชื่อว่าเจ้าภาพเป็นผู้เทศน์เหมือนกัน เรียกว่าเอาคนมาพูดแทน
การให้ธรรมทานเป็นปัจจัยใหญ่ เพราะการให้ธรรมทานบุคคลได้ฟังแล้วจะเกิดปัญญา สิ่งใดที่ไม่เคยรู้มาแล้วก็จะได้มีความรู้ขึ้น เมื่อมีความรู้แล้วก็เกิดความมั่นใจ มีปัญญาเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ใด บุคคลนั้นก็เป็นผู้หลีกความทุกข์ได้
ถ้าปัญญามีมากก็หลีกความทุกข์ได้มาก ปัญญามีน้อยก็หลีกความทุกข์ได้น้อย ดีกว่าคนที่ไม่มีปัญญาเลย ไม่มีโอกาสจะหลีกความทุกข์ได้ นี่ว่ากันถึงธรรมทาน
อภัยทาน
ธรรมทานอีกส่วนหนึ่งที่มุ่งหมายจะเทศน์กันในวันนี้ก็คืออภัยทาน อภัยทานนี้เป็นการให้ทานที่ไม่ต้องลงทุนด้วยวัตถุแล้วก็เป็นทานสูงสุด
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า "ใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว"
คำว่าปรมัตถบารมีนี้เป็นบารมีสูงสุด เป็นบารมีที่จะทำให้เข้าถึงพระนิพพาน คำว่า "อภัยทาน" ก็ได้แก่ "การให้อภัยซึ่งกันและกัน" หมายความว่า คนใดก็ตาม เขาทำให้เราขุ่นเคือง ทำให้เราไม่ชอบใจด้วยกรณีใดๆ ก็ตาม ถ้าหากเราคำพิจารณาเข่นฆ่าจองล้างจองผลาญ ถ้าเขาด่าเรา เราคิดว่าโอกาสสักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะด่าตอบ เขาลงโทษเรา เราจะลงโทษตอบ เขาตีเรา เราคิดว่าจะดีตอบ แต่โอกาสมันยังไม่มี คิดเข้าไว้ในใจว่าเราจะทำอันตรายตอบ อย่างนี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็น อาฆาต คือ พยาบาท เป็นไฟเผาผลาญดวงจิต
เพราะคนที่เรากำลังคิดจะฆ่าก็ดี คิดจะประทุษร้ายก็ดีนี่เขายังไม่ทันรู้ตัว เขามีความสุข เราคนที่คิดจะทำเขานั่นแหละตั้งแต่แรกหาความสุขไม่ได้ คบไฟแห่งความพยาบาทมันเข้าเผาผลาญ มีแต่ความร้อนรุ่มกลุ้มใจ
คิดวางแผนการต่างๆ ว่า เราทำยังไงจึงจะแก้มือเขาได้ ทำยังไงเราจึงจะฆ่าเขาได้ ทำยังไงจึงจะตีเขาได้ ทำยังไงเราจึงจะด่าเขาได้ โดยคนอื่นเห็นว่าไม่มีความผิด อารมณ์ที่คิดอยู่อย่างนี้ ยังตัดสินใจไม่ได้ ยังทำไม่ได้ มันเป็นไฟเผาผลาญคนคิดนี่แหละ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะอำนาจโทสะเข้าสิงใจ
นี่อำนาจโทสะหรือพยาบาทมันเริ่มเผาผลาญตั้งแต่คิด แต่คนที่ถูกคิดประทุษร้ายนั้นเขายังมีความสุข ทีนี้ถ้าเราไปทำเขาเข้าอีก ไอ้โทษมันก็จะหนักขึ้น ทำเขาเข้าอีก เขาก็จะแก้มือใหญ่ ถ้าเขาไม่แก้มือ ทางกฏหมายก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือความทุกข์ใหญ่ก็จะเกิดขึ้น.
ที่มา : หนังสือธรรมปฏิบัติ เล่ม 12 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทางสายกลาง

อุปสรรคของสมาธิ

หลวงปู่มั่นเล่าเรื่องพระธาตุพนม